งา เป็นพืชที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่กับอารยาธรรมของมนุษย์

โดยพบหลักฐานของการใช้งาเป็นอาหารมานามากกว่า 4,000 พันปีแล้ว

งา มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sesamum indicum Linn., หรือ Sesamun orient ale Linn.

งาเป็นพืชล้มลุกลำต้นสูงประมาณ 0.5-2.5 เมตร ดอกสีขาวผลเป็นฝัก ภายในมีเมล็ดเล็กๆ

มีทั้งพันธุ์สีขาว สีดำ และสีแดง แต่สีแดงไม่ค่อยเป็นที่นิยม งา เป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงมาก โดยเฉพาะงาดำ คุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ของงานั้นมีสูงมาก เนื่องจากในเมล็ดงามีโปรตีนสูงถึง 20% ประกอบไปด้วย

กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 2 ชนิด

คือเมธิโอนีน (Methionine) และทริปโตแฟน (Tryptophan) อีกทั้งมีไขมันไม่อิ่มตัวถึง 80% จึงสามารถสกัดเป็นน้ำมันคุณภาพดีที่มีทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3,

โอเมก้า 6, กรดโอเลอิกและกรดไลโนเลอิก ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดคอเลสเตอรอลป้องกัน

หลอดเลือดแข็งตัว และหลอดเลือดตีบ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง บำรุงเซลล์ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น และบำรุงรากผมช่วยทำให้ดกดำ นอกจากนี้เมล็ดงายังอุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมาย เช่นแคลเซียมสูงกว่านมวัวถึง 6 เท่า

มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และทองแดง ครบครัน รวมทั้งวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาท ที่กล่าวมานี้ งานั้นทรงคุณค่ามหาศาล

การบริโภคงาดำเป็นประจำ จึงทำให้สุขภาพดี เพราะช่วยเสริมการทำงานของระบบต่างๆที่สำคัญในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหัวใจและหลอดเลือด สมองและระบบประสาท กระดูก และฟัน ผิวหนังและผม นอกจากนั้นยังช่วยให้นอนหลับกระปรี้กระเปร่าป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก โรคริดสีดวงทวาร และอีกมากมาย ด้วยคุณค่าที่ประจักษ์มาช้านานนี้งาจึงเป็นอาหารและยาที่ใช้กัน

แพร่หลายในแทบทุกภูมิภาคของโลก

จากความเชื่อของคนโบราณ สู่งานวิจัยทางวิทยาสตร์ในยุคปัจจุบัน เราสามารถสกัดสารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาจากงาได้เรียกว่า เซซามิน (Sesamin) ซึ่งเป็นสารกลุ่มที่เรียกว่า Lignan ที่พบมากในงาเป็นสารชีวโมเลกุล

ที่ทำหน้าที่ป้องกันตัวเองจากศัตรูพืช อุดมไปด้วยสารอาหาร สู่ผลงานศึกษาวิจัยของ ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยที่มีความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผู้ค้นพบคุณค่าอันเปี่ยมล้น ด้วยสรรพคุณระดับชีวโมเลกุล

มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายช่วยดูแลส่งเสริมสุขภาพได้ดี

ผลิตภัณฑ์ต้นน้ำงานวิจัยเซซามินเจ้าแรกของไทยโดยพบว่า เซซามิน มีผลต่อการช่วยการทำงานของตับ เช่น ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นฟูเซลล์ตับ ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่ช่วยทำลายสารพิษในตับคือ microtonal ethanol oxidising enzymes และช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ glutathione reductase เป็นต้น

ค้นพบสรรพคุณของสารเซซามินว่า สามารถช่วยยับยั้งการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นสาเหตุของ

โรคข้อเสื่อมและมีการศึกษาวิจัยพบว่า เซซามิน

เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง

โดยการทำให้มะเร็งมีอายุสั้นลง (เข้าโปรแกรม cell death)

และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดูแลข้อและกระดูกได้อีกด้วย

ค้นพบว่า สารเซซามินมีคุณสมบัติทางชีวภาพ ดังนี้

• ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน (Fatty Acid Oxidation)
• ช่วยลดคอเลสเตอรอล (Reduction of Cholesterol) ทั้งในด้านการยับยั้งการสังเคราะห์และการดูดซึมคอเลสเตอรอล
• ช่วยลดไขมันในเลือด (Hypolipidemic Effect)
• ช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินอีเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า (Enhancement of Vitamin E)
• ปกป้องระบบประสาท (Neuroprotective Effect) ด้วยการยับยั้งปฏิกิริยาการเติมออกซิเจน

ของอะมีลอยด์โปรตีนจึงเป็นกลไกที่ข่วยป้องกันอัลไซเมอร์ได้

• ป้องกันภาวะพร่องออกซิเจนและภาวะอนุมูลอิสระสูง (Effect on Hypoxic and Oxidative Stress)
• มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (Antioxidant Effect)
• มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ (Anti - Inflammatory Effect)
• กระตุ้นให้มีการสร้างสาร lnterleukin-2 (IL-2) และ Interferon-Gamma (IFN-Gamma) จากเม็ดเลือดขาว
• ทำให้เซลล์มะเร็งบางชนิดเข้าสู่กระบวนการApoptosis หรือขบวนการทางชีวเคมี ที่ทำให้เซลล์ตาย
• ยับยั้งการลุกลาม Angiogenesis ของมะเร็งบางชนิดได้
  

คำถาม/คำตอบ

ถาม : เราสามารถทำคั่วบดงารับประทานเองได้ไหม?

ตอบ : ทุกท่านสามารถทำงาดำคั่วบดงารับประทานเองได้ค่ะ แต่ต้องทานให้ถูกต้อง คือต้องทำงาให้สุกก่อน เวลาคั่วก็ต้องระวังไม่ให้งาไหม้ แต่ถ้าเกิดไหม้ขึ้นมาคุณก็อาจไม่รู้ เพราะมันสีดำเหมือนกัน และแทนที่จะได้รับประโยชน์แต่หากรับประทานทานงาไหม้เข้าไปกลับกลายเป็นโทษไปอีก และถ้าจะต้องเก็บงาไว้รับประทานนานๆ ก็ต้องเก็บไว้ไม่ให้เหม็นหืน เพราะการเหม็นหืน คือไขมันที่ถูกออกซิไดซ์ ซึ่งเป็นพิษกับร่างกายและเนื้อเยื่อ และต้องรับประทานงาที่บดแล้ว เพราะงาที่ไม่ได้บดยากที่จะถูกย่อยสลายได้ในทางเดินอาหาร เนื่องจากงามีโครงสร้างที่แข็งแรงมาก และต้องทานให้ได้ปริมาณที่น่าจะมีผลได้ด้วย คือ ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะต่อวันค่ะ